อะโวคาโด (Avocado) ผลไม้ยอดฮิตที่คนไทยและฝรั่งนิยมรับประทานกันอย่างมาก ด้วยเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มเหมือนเนย และรสชาติที่หอมมันเป็นเอกลักษณ์ แถมยังมีประโยชน์มหาศาล เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์, โอเมก้า 3, วิตามินเอ, วิตามินซี และวิตามินอี จนเราไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมอะโวคาโดจึงอยู่ในกลุ่มอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงหรือ Superfood นั่นเอง
แต่หลายๆ คนคงทราบว่าการเลือกอะโวคาโดเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่เบา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกไหนพร้อมทาน หรือลูกไหนสุกเกินไปไม่ควรซื้อ หมีคำตอบ จึงอยากมาบอกเล่าวิธีเลือกอะโวคาโดสุกพร้อมทาน วิธีเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้นในกรณีที่ซื้ออะโวคาโดดิบมาแล้ว และวิธีเก็บรักษาอะโวคาโดให้อยู่ได้นานขึ้นอีกด้วย ซึ่งวิธีเหล่านี้ใช้ได้กับอะโวคาโดทุกสายพันธุ์ ทั้งอะโวคาโดนอกและอะโวคาโดไทยเลย
วิธีเลือกอะโวคาโดสุกพร้อมทาน
1. สังเกตดูจากสี
โดยส่วนใหญ่แล้ว เราสามารถสังเกตดูความสุกได้จากสีของอะโวคาโด สีเขียวอ่อนไปถึงเขียวเข้ม มีโอกาสสูงที่จะยังไม่สุก เนื้อข้างในยังแข็ง ส่วนอะโวคาโดที่สุกแล้วมักจะมีสีม่วงเข้มอมน้ำตาล หรือเขียวเข้มอมดำ
ทั้งนี้ วิธีเลือกอะโวคาโดจากการดูที่สีอย่างเดียวอาจใช้ได้กับอะโวคาโดบางสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์ Hass เป็นต้น ส่วนอะโวคาโดที่ปลูกในประเทศไทยอย่างสายพันธุ์ Booth7 เมื่อสุกแล้วจะยังมีสีเขียวอยู่ไม่ต่างจากลูกที่ดิบ จึงต้องใช้วิธีอื่นๆ ช่วยตัดสินด้วย
เคล็ดลับ
อะโวคาโดดิบเนื้อจะแข็ง รสชาติขมไม่อร่อย แต่ถ้าเผลอกินเข้าไปก็ไม่มีอันตรายต่อร่างกายนะ หลายคนอ้างว่าอะโวคาโดดิบเป็นพิษต่อร่างกาย แต่แพทย์ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นข่าวลือที่ไม่จริงแต่อย่างใด (แหล่งข้อมูล MIT)
2. ดูจากผิวของอะโวคาโด
อีกหนึ่งวิธีเลือกอะโวคาโดสุกที่หลายคนอาจยังไม่ทราบก็คือ การสังเกตผิวของอะโวคาโด โดยเฉพาะพันธุ์ที่มีผิวเรียบเป็นเงาเมื่อยังดิบ เช่น สายพันธุ์ Booth7 ที่ปลูกในประเทศไทย โดยอะโวคาโดพวกนี้ เมื่อสุกจะเริ่มมีผิวที่ขรุขระกว่าลูกที่ยังดิบ ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีจุดสีน้ำตาล รอยแตก และมีรอยตะปุ่มตะป่ำบนผิวมากขึ้น
3. ใช้มือกดเบาๆ
อีกวิธีเลือกอะโวคาโดสุกซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมกัน คือการบีบเปลือกอะโวคาโดเบาๆ เพื่อดูว่าเนื้อนุ่มมากพอหรือยัง โดยวิธีนี้ใช้ได้กับอะโวคาโดทุกสายพันธุ์ อะโวคาโดที่ยังดิบอยู่เนื้อจะแข็ง เมื่อกดเบาๆ เปลือกจะไม่ยืดหยุ่นไปตามแรงบีบ อาจต้องรอ 1-3 วันจึงจะสุกพอดี
สำหรับอะโวคาโดที่สุกพร้อมทาน เมื่อใช้มือกดเบาๆ เปลือกจะมีความนุ่มเล็กน้อยแต่ยังต้องรู้สึกถึงความแน่นเฟิร์มของเนื้ออยู่บ้าง ไม่นุ่มหรือเละจนเกินไป
หากเปลือกนุ่มมากและยุบลงเมื่อกด พร้อมกับมีรอยช้ำสีดำอยู่หลายจุด แปลว่าเนื้อภายในเละเกินไปหรืออะโวคาโดอาจเสียแล้ว
เคล็ดลับ
คนส่วนใหญ่ชอบใช้นิ้วบีบไปรอบๆ อะโวคาโด แต่รู้หรือไม่ว่าวิธีนี้มักทำให้อะโวคาโดช้ำ! ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าจริงๆ แล้ว เพียงแค่กดเบาๆ บริเวณรอบๆ ขั้วด้านบนก็เพียงพอที่จะบอกระดับความสุกได้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อช้ำเป็นสีน้ำตาลไม่น่ารับประทาน
วิธีเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น
1. วางอะโวคาโดไว้ในอุณหภูมิห้อง
จริงๆ แล้ว อะโวคาโดที่ยังดิบอยู่ใช้เวลาสุกประมาณ 1-3 วัน ยิ่งอากาศร้อนอย่างบ้านเราก็ยิ่งช่วยให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น ดังนั้นหากซื้ออะโวคาโดดิบมา ให้วางไว้ในอุณหภูมิห้อง (20 องศาเซลเซียสขึ้นไป) หลีกเลี่ยงการนำอะโวคาโดดิบเข้าตู้เย็น เพราะจะเป็นการขัดขวางกระบวนการสุกโดยธรรมชาติของอะโวคาโด
2. วางอะโวคาโดไว้ข้างๆ กล้วย แอปเปิล หรือแคนตาลูป
เร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้นด้วยการนำไปวางไว้ใกล้ๆ กับผลไม้ที่ปล่อยก๊าซเอธิลีนระหว่างกระบวนการสุก ซึ่งจะช่วยให้ผักผลไม้ที่อยู่ใกล้ๆ สุกเร็วขึ้นด้วย เช่น กล้วย แอปเปิล หรือแคนตาลูป ยิ่งนำไปใส่ถุงกระดาษรวมกันพร้อมปิดปากถุงก็ยิ่งช่วยให้สุกเร็วขึ้นไปอีก แต่ระวังอย่าวางซ้อนกันจนผลไม้บอบช้ำนะ
วิธีเก็บรักษาอะโวคาโดสุกให้สดนานขึ้น
1. เก็บอะโวคาโดสุกแบบไม่ผ่าในตู้เย็น
เมื่ออะโวคาโดสุกแล้ว ให้รับประทานภายใน 1-2 วัน คุณสามารถเก็บอะโวคาโดสุกแบบยังไม่ได้ผ่าไว้ในตู้เย็นได้อีกราวๆ 3 วัน หากนานกว่านั้น อะโวคาโดอาจนิ่มเกินไป และแนะนำให้กลับมาเช็กผลไม้ทุกวันเพื่อป้องกัน food waste
2. เก็บอะโวคาโดที่ผ่าแล้ว โดยนำเม็ดออก บีบมะนาว ห่อฟิล์มพลาสติก และนำเข้าตู้เย็น
หลายๆ คนอาจรับประทานอะโวคาโดเพียงครึ่งลูกและต้องการเก็บอีกครึ่งไว้รับประทานในวันถัดไป ไม่มีปัญหาเลย! เพียงนำเม็ดออก บีบมะนาวหรือเลมอนบนเนื้ออะโวคาโดเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเป็นสีน้ำตาลไม่น่ารับประทาน จากนั้นห่อด้วยแร็ปพลาสติกเพื่อป้องกันอากาศเข้า นำอะโวคาโดใส่กล่อง และเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา เราแนะนำให้ทานอะโวคาโดที่หั่นแล้วให้หมดภายใน 1-2 วันเพื่อความสดใหม่และรสชาติที่อร่อยหอมมัน